บทสรุปของโพสต์โดย durumis AI
- การรับประทานไข่ต้มสุกเต็มที่จะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมโปรตีน ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา และช่วยป้องกันผมร่วงจากการขาดไบโอติน
- โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราการดูดซึมโปรตีนของไข่ต้มสุกเต็มที่นั้นสูงกว่าไข่ดิบมาก ทำให้มีประสิทธิภาพในการสร้างและบำรุงกล้ามเนื้อ และเมื่อถูกความร้อนที่ 75℃ ขึ้นไป แบคทีเรียซัลโมเนลลาจะถูกทำลาย ทำให้สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย
- ไข่ต้มแบบไม่สุกเต็มที่ แม้จะมีรสชาติอร่อย แต่ก็มีข้อเสีย เช่น การดูดซึมโปรตีนลดลง ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา และความเสี่ยงต่อการเกิดผมร่วง ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดี ควรรับประทานไข่ต้มสุกเต็มที่
ทุกคนชอบไข่ต้มกันใช่มั้ยครับ? ชอบแบบสุกกำลังดีหรือสุกเต็มที่มากกว่ากันครับ? ไข่ต้มที่สุกกำลังดีหรือสุกเต็มที่นั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการต้ม...แต่จริงๆ แล้วการกินไข่ต้มแบบสุกเต็มที่นั้นดีต่อสุขภาพมากกว่านะครับ เหตุผลคืออะไร ไปดูกันเลยครับ
ข้อดีของการกินไข่ต้มสุกเต็มที่
1. อัตราการดูดซึมโปรตีนสูงขึ้น
ไข่เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง แต่ถ้าไม่ทำให้สุกเต็มที่ อัตราการดูดซึมโปรตีนจะลดลงนะครับ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยลพบว่าไข่ต้มสุกเต็มที่นั้นมีอัตราการดูดซึมโปรตีนสูงถึง 91% แต่ไข่ดิบนั้นมีอัตราการดูดซึมเพียง 52% เท่านั้น
ไข่ต้มสุกเต็มที่จะช่วยขจัดสารที่ไปขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ไทรป์ซิน (Trypsin) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ช่วยย่อยสลายโปรตีน ทำให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนได้มากขึ้น การได้รับโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยสร้างและบำรุงกล้ามเนื้อ ดังนั้นเพื่อการเสริมโปรตีน ควรต้มให้สุกเต็มที่จะดีกว่านะครับ
2. ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลา
ไข่มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนแบคทีเรียซาลโมเนลลาอยู่เสมอ การติดเชื้อซาลโมเนลลาจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียน ซึ่งเป็นอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร การให้ความร้อนกับไข่ที่อุณหภูมิ 75℃ ขึ้นไปนาน 1 นาทีขึ้นไปจะสามารถฆ่าเชื้อซาลโมเนลลาได้ครับ นอกจากนี้ เปลือกไข่ก็อาจมีแบคทีเรียซาลโมเนลลาอยู่ด้วย ดังนั้นหลังจากสัมผัสไข่แล้วควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแนะนำให้ไข่มีอุณหภูมิอยู่ที่ 75℃ และให้ความร้อนจนไข่แดงและไข่ขาวแข็งตัวนาน 1 นาทีขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการกินไข่ต้มแบบสุกกำลังดี
3. ป้องกันการขาดไบโอติน
ไข่ขาวมีสารที่ชื่อว่า อะวิดิน (Avidin) ซึ่งสารนี้จะไปขัดขวางการดูดซึมไบโอตินในร่างกาย ทำให้เกิดปัญหาผมร่วงได้ แต่ถ้าต้มไข่ให้สุกเต็มที่ อะวิดินจะถูกทำลาย ทำให้ร่างกายดูดซึมไบโอตินได้ดีขึ้น
ไบโอติน (วิตามินบี 7)
มีส่วนช่วยในการสร้างเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของเส้นผม
หลายคนอาจไม่เคยคิดว่าการกินไข่จะส่งผลต่อผมร่วงได้ แต่ถ้าใครที่มีปัญหาผมร่วงอยู่แล้วหรือกำลังกังวลเรื่องนี้ ก็ควรหลีกเลี่ยงการกินไข่ต้มแบบสุกกำลังดีนะครับ
โดยทั่วไปแล้ว เหตุผลที่หลายคนชอบกินไข่ต้มแบบสุกกำลังดีก็เพราะว่าไข่แดงจะไม่แข็งจนเกินไป มีความนุ่มลิ้นและมีรสชาติที่หอมมัน...แต่ถ้าเลือกกินไข่ต้มแบบสุกกำลังดี ก็อาจจะต้องเผชิญกับข้อเสีย 3 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น ได้แก่ อัตราการดูดซึมโปรตีนลดลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อซาลโมเนลลา และเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผมร่วง ดังนั้นถ้าอยากจะเลือกรับประทานไข่เพื่อสุขภาพ ก็ลองเปลี่ยนจากไข่ต้มแบบสุกกำลังดีเป็นไข่ต้มแบบสุกเต็มที่ดูนะครับ
วิธีการรับประทานไข่ต้มสุกเต็มที่
ถ้าอยากกินไข่ต้มแบบง่ายๆ ในตอนเช้า ลองต้มไข่สุกเต็มที่ไว้ล่วงหน้าในวันก่อนก็ได้นะครับ และควรดื่มน้ำอุ่นร่วมด้วย จะช่วยลดการระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารในขณะท้องว่าง และช่วยให้ย่อยง่ายขึ้น
ไข่ 1-2 ฟองต่อวันนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องคอเลสเตอรอลมากนักนะครับ เพราะคอเลสเตอรอลส่วนใหญ่ร่างกายสร้างขึ้นเองมากกว่าการได้รับจากอาหาร และการไม่กินไข่ก็อาจจะทำให้ร่างกายสร้างคอเลสเตอรอลมากขึ้นด้วย
ไข่เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ จึงถูกเรียกว่าเป็นอาหารครบถ้วน แต่เนื่องจากเป็นอาหารประเภทโปรตีนจากสัตว์ จึงขาดวิตามินซี ดังนั้นควรทานผักและผลไม้ร่วมด้วย เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนสมดุล